Wednesday, December 24, 2014

ข้อคิดสะกิดใจ

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนุ้ยได้มีเวลาไปศูนย์หนังสือจุฬา และได้ไปนั่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง 
เป็นคุณแม่ชาวจีนที่เขียนเกี่ยวกับการเลี้ยงดูลูก ซึ่งเธอได้เขียนเป็นบทความที่อ่านง่าย
โดยยกตัวอย่างจากเรื่องของเธอบ้าง และมีตัวอย่างจากบทความดีๆ ที่เธอเลือกนำมาลง 
นุ้ยนั่งอ่านจนจบเล่มค่ะ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง พออ่านจบก็ได้ข้อคิดหลายๆ อย่าง
ในการเลี้ยงลูก เราเองเป็นพ่อแม่สมัยใหม่ ที่สภาพแวดล้อมเต็มไปด้วยเทคโนโลยี และสื่อต่างๆ
การเลี้ยงลูกก็ต้องรู้เท่าทัน พ่อแม่จะต้องปรับตัวตามวัยของลูก อย่าเอาตัวเองเป็นบรรทัด
วัดลูก ว่าลูกควรจะเป็นอย่างไร แต่เราเองควรมีลู่ที่ชัดเจน โดยให้ลูกนั้นวิ่งอยู่ในลู่โดยวิธีของเขา
และเราคอยเป็นโค้ช มากกว่าที่จะเป็นผู้จัดการในชีวิตของเขา ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเลี้ยงลูกให้ดีในสมัยนี้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากมากสำหรับพ่อแม่เพราะคนที่จะเป็นพ่อแม่นั้น ต้องเตรียมตัวเตรียมใจ เตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อนถึงจะนับว่าเป็นผู้ให้อย่างแท้จริง 

เล่าสู่กันฟังนะคะ ต้นข้าวขณะนี้อายุจะหกปีขวบแล้วค่ะ นุ้ยสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง
ทางด้านร่างกายของลูกอย่างมาก ลูกสูงขึ้น แข็งแรงขึ้น และสิ่งที่เห็นเด่นชัดคืออารมณ์
ที่เปลี่ยนแปลงมากๆ ด้วยเช่นกัน ตอนนี้ลูกมีอารมณ์ขึ้นลงอย่างมาก นั่งๆ เล่นอยู่ดีๆ ก็
ร้องกรี๊ดขึ้นมา นึกไปเอง คิดไปเอง และก็เสียใจไปเอง เราเป็นแม่ก็อดสงสัยไม่ได้
ว่าลูกเราเป็นอะไร ก็เลยกลับมานั่งทบทวนกับตัวเองว่า ที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นปีเราเลี้ยงลูกอย่างไร
เราบกพร่องตรงไหน ทำไมลูกถึงแสดงพฤติกรรมออกมาเช่นนั้น เมื่อนั่งทบทวนแล้ว
ก็พบว่า เราไปทำงานประจำตั้งแต่ต้นปี มีเวลาอยู่กับเค้าก็แค่ช่วงก่อนนอน และเสาร์อาทิตย์ 
บางวันเราก็เครียดจากงาน และมาระเบิดกับลูกโดยไม่ตั้งใจ บางวันก็เหวี่ยงซะจน
คนในบ้านเข้าหน้ากันไม่ติด ทำงานมาเหนื่อยได้เงินเป็นค่าตอบแทน
แต่ไม่ได้ใส่ใจคนรอบข้างและลูกอย่างที่ควรจะเป็น พอคิดได้ เราก็เริ่มปรับตัวเองใหม่
ใจเย็นลง และที่สำคัญคือลาออกจากงาน กลับมาทำงานวิจัยให้เสร็จ 
รู้สึกดีกับชีวิตมากขึ้น เห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้น ได้ออกสนามเจอผู้ปกครอง
ได้ทำงานกับโรงเรียน ได้เห็นเด็กๆ ทำให้ตัวเราผ่อนคลาย เมื่อกลับมาอยู่กับลูก
เราก็เริ่มเรียนรู้กับลูกใหม่ ค่อยๆ ปรับชีวิตที่เร่งรีบให้ช้าลง มีสติ ระงับอารมณ์เวลาโกรธ 
ไม่ได้โทษนะคะว่าไปทำงานไม่ดี แต่กับตัวเองแล้วมันก็มีผลมากพอสมควร 

เมื่อเราจัดการกับตัวเองได้ดีแล้ว เราก็จะอยู่กับลูกได้ดีขึ้น เข้าใจลูกมากขึ้น ใจเย็นกับเค้า 
คือเรียกว่าได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง พยายามบอกตัวเองอยู่เสมอว่าเราไม่ได้มีอำนาจ
ไปจัดการ เผด็จการ ลงโทษ หรือทำร้ายร่างกายลูกได้ ถึงแม้ลูกจะเป็นผู้ที่ไม่สามารถต่อสู้
หรือขัดขืนได้ เค้าอ่อนแอกว่าเรา เมื่อเรามีอำนาจเหนือกว่า ก็ไม่ควรใช้อำนาจนี้มาทำร้ายเขา 
โทนเสียงที่พูดกับลูกก็มีความสำคัญนะคะ เด็กจะจับนำ้เสียงและอารมณ์เวลาเราพูด 
เค้ารู้สึกนะคะว่าเรารู้สึกอย่างไร บางวันเรามีเรื่องกังวลใจ สีหน้า แววตา และน้ำเสียงของเรา
ก็บ่งบอก และเค้าก็รับรู้ได้ค่ะ เค้าอาจจะโต้ตอบเราโดยการดื้อหรือไม่ฟัง เพราะเค้ารู้ว่าเราไม่พร้อม
แต่กับต้นข้าว ลูกจะเข้ามาถามค่ะว่าแม่เป็นอะไร มีอะไรหรือเปล่า เล่าให้ฟังสิเผื่อเขาจะช่วยได้ 
พอเราได้ฟังเท่านั้น เหมือนทุกอย่างมันผ่อนคลายจากหนักเป็นเบาเลยค่ะ 
เมื่อหัวใจกับหัวใจพูดกันมันคงไม่ยากเกินกว่าที่จะเข้าใจค่ะ 

ตอนต่อไปจะมาเล่าให้ฟังถึงโรงเรียนทางเลือกแนววิถีพุทธกับแบบเต็มๆ นะคะ 
ปล. ไปลงสนามเก็บข้อมูลจริงค่ะ อย่าลืมติดตามนะคะ 

Monday, November 17, 2014

ความในใจของคนเป็นแม่

สืบเนื่องมากจาการเสพสื่อออนไลน์ต่างๆ ก็ได้ทราบข่าวคราวมามากมายพอสมควร
อยากจะเขียนเพื่อสะท้อนความจริงในสังคมในเรื่องของครอบครัวบ้าง อาจจะเป็นแค่
มุมมองของแม่คนหนึ่งที่เลี้ยงลูกเอง และแอบไปทำงานประจำบ้าง เข้าเรื่องเลยละกัน

ถ้าจะย้อนไปแล้วการที่คนเราจะแต่งงาน สร้างครอบครัวและมีลูกนั้น ถือเป็นความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่
เพราะเราไม่ได้อยู่เพียงตัวคนเดียวแล้ว เรายังต้องมีสามีหรือภรรยาที่ต้องอยู่กับเรา
และเมื่อเรามีลูก เราก็ต้องเลี้ยงลูกของเรา แต่ก็อีกนั่นแหล่ะ เมื่อภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดี
พ่อแม่ก็ต้องออกไปทำงาน และฝากลูกไว้กับญาติ หรือพี่เลี้ยง ซึ่งในบางกรณีที่จำจริงๆ ไม่มีทางเลือกอื่น อันนั้นก็เข้าใจ

แต่บางครั้งก็เกิดข้อสงสัยเหมือนกันว่าถ้าแต่งงานแล้วมีลูก แต่ไม่สามารถเลี้ยงลูกของตัวเองได้
ต้องส่งไปให้ปู่ย่า หรือตายายเลี้ยง หรือให้ญาติเลี้ยง เนื่องจากรับภาระว่าใช้จ่ายไม่ไหว
แล้วจะรีบมีลูกทำไม ประมาณว่ามีลูกแล้วไม่สามารถเลี้ยงได้ และไม่สามารถ
รับผิดชอบเค้าได้ สุดท้ายก็กลายเป็นภาระผู้อื่น หรือไม่ถ้ารู้ว่าตั้งครรภ์แล้วลูกไม่สมบูรณ์
พอคลอดออกมาก็ทิ้ง นี่มันคืออะไร มันคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย เป็นข่าวไม่เว้นแต่ละวัน

คิดๆ ไปแล้ว เราควรจะมีโรงเรียนพ่อแม่ดีไหม สอนให้รู้จักความเป็นพ่อแม่ หน้าที่ของพ่อแม่
ความรับผิดชอบของพ่อแม่ ไม่เช่นนั้นมันก็จะเกิดเหตุการณ์ต่างๆ เด็กกำพร้าก็เพิ่มจำนวนมากขึ้น
พ่อแม่วัยใสก็มีมากขึ้น ได้ฟังโฆษณาของ สสส. เรื่องแจ้งเกิดทุกวัน มันก็สะท้อนให้เห็นแล้วว่า
พ่อแม่ที่ไม่มีความพร้อมในการมีลูก แต่ดันมีลูกขึ้นมา หรือว่าไม่ได้ตั้งใจ แต่ไม่ป้องกัน
ก็มีลูกขึ้นมาอีก หรือในบางกรณีก็อยากจะมี เพราะมีคนช่วยเลี้ยง หรือถ้ามีเพื่อหวังสมบัติแต่ชั้นไม่เลี้ยง

หยุดความคิดเช่นนี้เถอะค่ะ เด็กที่เกิดมานั้นเป็นผ้าขาว เค้าไม่อยากเกิดมาเพื่อเป็นสิ่ง
ที่แสดงออกถึงความใคร่และความสำราญของคนสองคน เค้าอยากมีพ่อแม่ที่รักและเอาใจใส่
อบรมเลี้ยงดู และสั่งสอนเค้าให้เป็นคนดี ถ้าคิดจะมีอะไรกันแล้วไม่อยากมีลูกก็ให้ป้องกันนะคะ อย่าให้เด็กเกิดมาโดยความไม่พร้อมของพ่อแม่ ซึ่งมันเป็นเพียงแค่ข้ออ้างและปัดความรับผิดชอบเท่านั้น



Saturday, November 15, 2014

กลับมาเขียนอีกครั้ง และสัญญาว่าจะเขียนต่อไปค่ะ

ขอโทษมิตรรักแฟนเพลงทุกท่านนะคะ ที่หายไปนานมากๆ 
หนีไปทำงานเก็บเงินสักพักเพื่อเอาทำ Thesis ต่อค่ะ 
ตอนนี้ก็กำลังเก็บข้อมูลอยู่ค่ะ เข้าปีที่ 3 แล้ว อยากจะจบสักที 
เรื่องราว คร่าวๆ ก็ประมาณนี้ค่ะ ดูไม่ค่อยมีสาระอะไรเลย 

มาเข้าสาระกันดีกว่า ตอนนี้อยู่ในช่วงหา รร. เข้าป. 1 ให้ลูกค่ะ 
ปวดหัวตุบเลยอ่ะ อยากจะเอาเข้า รร. ทางเลือก ที่ใกล้ๆบ้านก็มี
อยู่แค่ไม่กี่แห่ง และต้องลุ้นอย่างเดียว เขียนใบสมัครไว้แล้วค่ะ 
ไม่รู้จะมีดวงหรือเปล่า ครั้นจะให้เข้า รร. ที่ทำวิจัย ก็ไกลเสียซะเหลือเกิน 
เป็นโรงเรียนทางเลือกแนววิถีพุทธค่ะ จากที่ได้ศึกษาอย่างละเอียด
ก็เห็นแล้วว่าเป็น รร. ที่เหมาะสำหรับเด็กชาวพุทธอย่างเราเป็นที่สุดค่ะ 
คนเราเกิดจากธรรมชาติ ก็ต้องเรียนรู้ไปตามธรรมชาติ แต่ละครอบครัว
ก็มีขีดจำกัด ครั้นจะให้สมบูรณ์ไปทุกอย่างก็คงจะไม่ได้ ฉะนั้น ตอนนี้ก็
หาต่อไปค่ะ ท่านใดอ่านเจอ สามารถแชร์ประสบการณ์ได้นะคะ 
ถ้าเป็น รร. ย่าน ดอนเมือง หลักสี่ เกษตร ไม่เกินลาดพร้าว จะดีมากๆ เลยค่ะ 

ในบทต่อไปจะมาว่ากันต่อเรื่องโรงเรียนทางเลือกแนววิถีพุทธกันนะคะ 

สัญญาว่าจะไม่ทิ้งกัน