Wednesday, January 14, 2015

มาลดน้ำหนัก และปรับเปลี่ยนการกินกันเถอะ

ขอนอกเรื่องจากบทความที่แล้วกันก่อนนะคะ เรื่องโรงเรียนทางเลือกแนววิถีพุทธ
อันติดไว้ก่อน เพราะตอนนี้นุ้ยคิดอยู่เรื่องเดียวคือการลดน้ำหนัก และการปรับเปลียนการกิน

เริ่มต้นกันเลยนะคะ ขณะนี้นุ้ยมีเป้าหมายที่จะลดน้ำหนักประมาณ 10 กก. 
สิ่งที่จะต้องเริ่มคือการปรับพฤติกรรมการกินใหม่ และเพิ่มการออกกำลังกายค่ะ 

1. เรื่องพฤติกรรมการกิน ดูจากตัวเองแล้วเป็นคนกินง่ายมากๆ ค่ะ อะไรก็กินได้หมด
ขอแค่รสไม่เผ็ดมาก ก็กินได้แล้วค่ะ พฤติกรรมนี้มันยิ่งส่งผลให้น้ำหนักเราเพิ่มเร็วมากขึ้นค่ะ
เพราะกินได้หมด ยิ่งข้าวเหลือของลูก ย่ิงอร่อยค่ะ แม่เจ้าแล้วอะไรใันจะเหลือนั่นคือในส่วน
ของอาหาร มาพูดถึงเรื่องเครื่องดื่มกันบ้าง มอคค่าเย็นต้องมีติดตู้เย็นเลยค่ะ ถ้าไม่ได้ดื่ม
เป็นอันลงแดงเหวี่ยงกันแบบฉุดไม่อยู่ รวมถึงชาเขียวยี่ห้อหนึ่งแซ่บอย่าบอกใครเวลาหิวน้ำ
ก็ซดเข้าไปค่ะ มีติดตู้เย็นด้วย เอาเข้าไปสิ แล้วจะไม่ให้น้ำหนักพุ่งได้อย่างไร 

การปรับเปลี่ยน ณ ตอนนี้ 
1.1 ลดแป้ง และเนื้อสัตว์ลงค่ะ โดยเฉพาะเนื้อแดง (เนื้อหมู และเนื้อวัว) ก็จะกินเป็นเนื้อปลา เนื้อไก่ อาหารทะเล และไข่ โดยเน้นที่ผักมากกว่าเนื้อสัตว์ค่ะ ตัวนุ้ยเองกินผักสดไม่ค่อยได้แยะก็จะเปลียนเป็นผักต้มกับน้ำพริกแทนค่ะ และยังคงทาน 3 มื้อ เหมือนเดิมค่ะ แล้วจะเขียนตารางอาหารใน 1 วัน
ให้ดูนะคะ และส่วนพวกขนมและเบอร์เกอรี่ทั้งหลาย ก็งดก่อนค่ะ ถ้าอยากจริงก็มีนิดๆ หน่อยค่ะ 

1.2 งดเครื่องดื่มชงๆ และชาที่ผสมน้ำตาล ตัวเองก็งดกาแฟมอคค่าไปเลยค่ะ มันก็เหมือนกันหักดิบนะคะ
แต่นุ้ยเองทำแบบค่อยเป็นค่อยไป จากวันละแก้ว ก็เหลือครึ่งแก้ว จากครึ่งแก้ว ก็เหลือ หนึ่งส่วนสี่ 
และก็ไม่ดื่มเลยค่ะ ส่วนชาเขียนนั้นก็เช่นกันค่ะ จากหนึ่งขวด ก็เหลือเป็นครึ่งขวด เป็นหนึ่งส่วนสี่ 
และก็ไม่ดื่มเลยค่ะ ถ้าจะถามว่ามีอยากไหม ขอตอบว่ามีค่ะ และถามต่อว่าทำอย่างไร อันนี้เป็นวิธีส่วนตัวนะคะ ถ้าอยากจริงจะลดอาหารมื้อที่จะกินน้ำหวานลงค่ะ เพื่อให้มีแคลอลี่เหลือให้น้ำหวาน 
เช่น วันนี้ตอนกลางวันจะไปก๋วยเตี๋ยว ในใจอยากกินเส้นใหญ่แห้งจังเลย แต่ก็อยากดื่มชาเขียวเย็น
ก็ต้องสั่งเกาเหลาค่ะ และก็ได้ด่มชาเขียวเย็นเอาแค่สักแก้วพอหายอยากนะคะ คิดว่าคงไม่อยากอะไร

1.3  งดแป้งมื้อเย็น เช้า กลางวัน นุ้ยทานข้าว และแป้งปกติค่ะ แต่มื้อเย็นจะไม่แตะแป้งเลย
และทานแต่กับข้าวที่เป็นผัก และเนื้อสัตว์นิดหน่อย แรกๆ หิวค่ะ แต่เดี๋ยวนี้ก็ชิน
ถ้าหิวจริงก็นมถั่วเหลืองสักกล่อง นุ้ยจะทานมื้อเย็นประมาณ  6 โมงเย็นค่ะ
และจะเข้านอนประมาณสามทุ่ม 

1.4   ของทอด จริงเป็นของที่ชอบมากๆ เลยนะคะ ก็ลดค่ะ เพราะงดคงยังทำไม่ได้ ก็เลี่ยงเอาค่ะ
ถ้าอยากมากๆ หรือเลี่ยงไม่ได้ก็นิดนึงค่ะ 

ลองมาดูอาหารในหนึ่งวันของนุ้ยกันนะคะ 

ตื่นนอนยังไม่ต้องแปรงฟัน ดื่มน้ำเปล่า  1 แก้ว 

เช้า ช้าวกล้องหุงนิ่ม 1 ทัพพี และกับข้าว เน้นผักๆ และไม่เผ็ดมาก ส่วนมากก็กินเหมือนกับลูกค่ะ + ผลไม้
กลางวัน ก๋วยเตี๋ยว หรือเกาเหลา หรือข้าว + ผลไม้
เย็น ไม่ทานแป้งค่ะ จะทานอะไรก็ได้ ส่วนมากนุ้ยจะทานกับข้าวที่เป็นต้มจืด หรืออะไรก็ได้ที่ไม่มัน ไม่เผ็ดค่ะ บางวันก็เป็นพวกยำๆ หรือไม่ก็น้ำพริก ปลานึ่ง + ผลไม้ 

ระหว่างวันก็จะดื่มน้ำค่ะก็เอาให้ได้ นน.ตัว x 30 ml. ค่ะ ถ้าหิวมากก็เป็นนมถั่วเหลือหวานน้อยๆ ค่ะ 

มาถึงเรื่องการออกกำลังกายนะคะ ตัวนุ้ยเองมีความขี้เกียจอยู่แล้วค่ะ แต่เมื่อสุขภาพเริ่มแย่ก็ต้องหันมาใจ่ใสกันค่ะ นุ้ยไม่ต้องไปฟิตเนตค่ะ แค่มีร้องเท้าวิ่งดีๆ  1 คู่ ก็พอแล้วค่ะ 

วันแรกที่เริ่มออกกำลังกาย ก็จะเริ่มจากการเดินในหมู่บ้านค่ะ ประมาณ  3 กม. เอาแค่เหงื่อซึมๆ เพราะถ้าหักโหมพรุ่งนี้จะเจ็บกล้ามเนื้อและเป็นข้ออ้างที่จะไม่ออกกำลังกายต่อค่ะ 

วันที่สอง ก็เดินเร็วขึ้นและเพิ่มระยะทางเป็น 4 กม. ถ้ากะประมาณ ก็ประมาณ 4 รอบใหญ่ในหมู่บ้านค่ะ 


วันที่สาม ก็เดินร็วขึ้นและเพิ่มระยะทางเป็น  5  กม. 

วันที่สี่และวันที่ห้า ก็ทำเช่นกันค่ะ ทำแบบนี้ประมาณ สองสัปดาห์ เมื่อรางกายอยู่ตัวแล้วก็เริ่มวิ่งค่ะ 

การเริ่มวิ่ง 
วันแรก เดิน 500 ม. สลับวิ่งเหยาะๆ 100 ม. สลับกันไปจนครบ 3 กม.
วันที่สอง เดิน 500 ม. สลับวิ่งเหยาะๆ 200  ม. สลับกันจนครบ 4 กม. 
วันที่สาม เดิน 500 ม. สลับการสิ่งเหยาะๆ 300 ม. สลับกันจนครบ 5 กม. 
วันที่สี่ วันที่ห้า ทำเหมือนวันที่สาม และค่อยๆ เพิ่มระทางการวิ่งไปเรื่อยๆ 

ตอนนี้ตัวนุ้ยเอง จะเดิน 500 ม. และวิ่ง 500 ม. สลับกันไปจนครบ 5 กม. และพยายาม
จะเพิ่มระทางการวิ่งและลดการเดินลงค่ะ 

ส่วนวันที่เป็นประจำเดือนก็จะเดินทางเดียวค่ะ และแกว่งแขนประมาณ 15 นาที 

ยินดีให้ทุกคนลองนำเอาไปใช้นะคะ ปรับเปลี่ยนกันได้ตามร่างกายของเราค่ะ 
แล้วมาดูผลกันนะคะ 

ปล. ณ ตอนนี้ลดลงมาแล้ว 2 กก. ค่ะ เฉลี่ยนสัปดาห์ละครึ่ง กก. ค่ะ






       

Wednesday, December 24, 2014

ข้อคิดสะกิดใจ

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนุ้ยได้มีเวลาไปศูนย์หนังสือจุฬา และได้ไปนั่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง 
เป็นคุณแม่ชาวจีนที่เขียนเกี่ยวกับการเลี้ยงดูลูก ซึ่งเธอได้เขียนเป็นบทความที่อ่านง่าย
โดยยกตัวอย่างจากเรื่องของเธอบ้าง และมีตัวอย่างจากบทความดีๆ ที่เธอเลือกนำมาลง 
นุ้ยนั่งอ่านจนจบเล่มค่ะ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง พออ่านจบก็ได้ข้อคิดหลายๆ อย่าง
ในการเลี้ยงลูก เราเองเป็นพ่อแม่สมัยใหม่ ที่สภาพแวดล้อมเต็มไปด้วยเทคโนโลยี และสื่อต่างๆ
การเลี้ยงลูกก็ต้องรู้เท่าทัน พ่อแม่จะต้องปรับตัวตามวัยของลูก อย่าเอาตัวเองเป็นบรรทัด
วัดลูก ว่าลูกควรจะเป็นอย่างไร แต่เราเองควรมีลู่ที่ชัดเจน โดยให้ลูกนั้นวิ่งอยู่ในลู่โดยวิธีของเขา
และเราคอยเป็นโค้ช มากกว่าที่จะเป็นผู้จัดการในชีวิตของเขา ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเลี้ยงลูกให้ดีในสมัยนี้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากมากสำหรับพ่อแม่เพราะคนที่จะเป็นพ่อแม่นั้น ต้องเตรียมตัวเตรียมใจ เตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อนถึงจะนับว่าเป็นผู้ให้อย่างแท้จริง 

เล่าสู่กันฟังนะคะ ต้นข้าวขณะนี้อายุจะหกปีขวบแล้วค่ะ นุ้ยสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง
ทางด้านร่างกายของลูกอย่างมาก ลูกสูงขึ้น แข็งแรงขึ้น และสิ่งที่เห็นเด่นชัดคืออารมณ์
ที่เปลี่ยนแปลงมากๆ ด้วยเช่นกัน ตอนนี้ลูกมีอารมณ์ขึ้นลงอย่างมาก นั่งๆ เล่นอยู่ดีๆ ก็
ร้องกรี๊ดขึ้นมา นึกไปเอง คิดไปเอง และก็เสียใจไปเอง เราเป็นแม่ก็อดสงสัยไม่ได้
ว่าลูกเราเป็นอะไร ก็เลยกลับมานั่งทบทวนกับตัวเองว่า ที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นปีเราเลี้ยงลูกอย่างไร
เราบกพร่องตรงไหน ทำไมลูกถึงแสดงพฤติกรรมออกมาเช่นนั้น เมื่อนั่งทบทวนแล้ว
ก็พบว่า เราไปทำงานประจำตั้งแต่ต้นปี มีเวลาอยู่กับเค้าก็แค่ช่วงก่อนนอน และเสาร์อาทิตย์ 
บางวันเราก็เครียดจากงาน และมาระเบิดกับลูกโดยไม่ตั้งใจ บางวันก็เหวี่ยงซะจน
คนในบ้านเข้าหน้ากันไม่ติด ทำงานมาเหนื่อยได้เงินเป็นค่าตอบแทน
แต่ไม่ได้ใส่ใจคนรอบข้างและลูกอย่างที่ควรจะเป็น พอคิดได้ เราก็เริ่มปรับตัวเองใหม่
ใจเย็นลง และที่สำคัญคือลาออกจากงาน กลับมาทำงานวิจัยให้เสร็จ 
รู้สึกดีกับชีวิตมากขึ้น เห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้น ได้ออกสนามเจอผู้ปกครอง
ได้ทำงานกับโรงเรียน ได้เห็นเด็กๆ ทำให้ตัวเราผ่อนคลาย เมื่อกลับมาอยู่กับลูก
เราก็เริ่มเรียนรู้กับลูกใหม่ ค่อยๆ ปรับชีวิตที่เร่งรีบให้ช้าลง มีสติ ระงับอารมณ์เวลาโกรธ 
ไม่ได้โทษนะคะว่าไปทำงานไม่ดี แต่กับตัวเองแล้วมันก็มีผลมากพอสมควร 

เมื่อเราจัดการกับตัวเองได้ดีแล้ว เราก็จะอยู่กับลูกได้ดีขึ้น เข้าใจลูกมากขึ้น ใจเย็นกับเค้า 
คือเรียกว่าได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง พยายามบอกตัวเองอยู่เสมอว่าเราไม่ได้มีอำนาจ
ไปจัดการ เผด็จการ ลงโทษ หรือทำร้ายร่างกายลูกได้ ถึงแม้ลูกจะเป็นผู้ที่ไม่สามารถต่อสู้
หรือขัดขืนได้ เค้าอ่อนแอกว่าเรา เมื่อเรามีอำนาจเหนือกว่า ก็ไม่ควรใช้อำนาจนี้มาทำร้ายเขา 
โทนเสียงที่พูดกับลูกก็มีความสำคัญนะคะ เด็กจะจับนำ้เสียงและอารมณ์เวลาเราพูด 
เค้ารู้สึกนะคะว่าเรารู้สึกอย่างไร บางวันเรามีเรื่องกังวลใจ สีหน้า แววตา และน้ำเสียงของเรา
ก็บ่งบอก และเค้าก็รับรู้ได้ค่ะ เค้าอาจจะโต้ตอบเราโดยการดื้อหรือไม่ฟัง เพราะเค้ารู้ว่าเราไม่พร้อม
แต่กับต้นข้าว ลูกจะเข้ามาถามค่ะว่าแม่เป็นอะไร มีอะไรหรือเปล่า เล่าให้ฟังสิเผื่อเขาจะช่วยได้ 
พอเราได้ฟังเท่านั้น เหมือนทุกอย่างมันผ่อนคลายจากหนักเป็นเบาเลยค่ะ 
เมื่อหัวใจกับหัวใจพูดกันมันคงไม่ยากเกินกว่าที่จะเข้าใจค่ะ 

ตอนต่อไปจะมาเล่าให้ฟังถึงโรงเรียนทางเลือกแนววิถีพุทธกับแบบเต็มๆ นะคะ 
ปล. ไปลงสนามเก็บข้อมูลจริงค่ะ อย่าลืมติดตามนะคะ 

Monday, November 17, 2014

ความในใจของคนเป็นแม่

สืบเนื่องมากจาการเสพสื่อออนไลน์ต่างๆ ก็ได้ทราบข่าวคราวมามากมายพอสมควร
อยากจะเขียนเพื่อสะท้อนความจริงในสังคมในเรื่องของครอบครัวบ้าง อาจจะเป็นแค่
มุมมองของแม่คนหนึ่งที่เลี้ยงลูกเอง และแอบไปทำงานประจำบ้าง เข้าเรื่องเลยละกัน

ถ้าจะย้อนไปแล้วการที่คนเราจะแต่งงาน สร้างครอบครัวและมีลูกนั้น ถือเป็นความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่
เพราะเราไม่ได้อยู่เพียงตัวคนเดียวแล้ว เรายังต้องมีสามีหรือภรรยาที่ต้องอยู่กับเรา
และเมื่อเรามีลูก เราก็ต้องเลี้ยงลูกของเรา แต่ก็อีกนั่นแหล่ะ เมื่อภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดี
พ่อแม่ก็ต้องออกไปทำงาน และฝากลูกไว้กับญาติ หรือพี่เลี้ยง ซึ่งในบางกรณีที่จำจริงๆ ไม่มีทางเลือกอื่น อันนั้นก็เข้าใจ

แต่บางครั้งก็เกิดข้อสงสัยเหมือนกันว่าถ้าแต่งงานแล้วมีลูก แต่ไม่สามารถเลี้ยงลูกของตัวเองได้
ต้องส่งไปให้ปู่ย่า หรือตายายเลี้ยง หรือให้ญาติเลี้ยง เนื่องจากรับภาระว่าใช้จ่ายไม่ไหว
แล้วจะรีบมีลูกทำไม ประมาณว่ามีลูกแล้วไม่สามารถเลี้ยงได้ และไม่สามารถ
รับผิดชอบเค้าได้ สุดท้ายก็กลายเป็นภาระผู้อื่น หรือไม่ถ้ารู้ว่าตั้งครรภ์แล้วลูกไม่สมบูรณ์
พอคลอดออกมาก็ทิ้ง นี่มันคืออะไร มันคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย เป็นข่าวไม่เว้นแต่ละวัน

คิดๆ ไปแล้ว เราควรจะมีโรงเรียนพ่อแม่ดีไหม สอนให้รู้จักความเป็นพ่อแม่ หน้าที่ของพ่อแม่
ความรับผิดชอบของพ่อแม่ ไม่เช่นนั้นมันก็จะเกิดเหตุการณ์ต่างๆ เด็กกำพร้าก็เพิ่มจำนวนมากขึ้น
พ่อแม่วัยใสก็มีมากขึ้น ได้ฟังโฆษณาของ สสส. เรื่องแจ้งเกิดทุกวัน มันก็สะท้อนให้เห็นแล้วว่า
พ่อแม่ที่ไม่มีความพร้อมในการมีลูก แต่ดันมีลูกขึ้นมา หรือว่าไม่ได้ตั้งใจ แต่ไม่ป้องกัน
ก็มีลูกขึ้นมาอีก หรือในบางกรณีก็อยากจะมี เพราะมีคนช่วยเลี้ยง หรือถ้ามีเพื่อหวังสมบัติแต่ชั้นไม่เลี้ยง

หยุดความคิดเช่นนี้เถอะค่ะ เด็กที่เกิดมานั้นเป็นผ้าขาว เค้าไม่อยากเกิดมาเพื่อเป็นสิ่ง
ที่แสดงออกถึงความใคร่และความสำราญของคนสองคน เค้าอยากมีพ่อแม่ที่รักและเอาใจใส่
อบรมเลี้ยงดู และสั่งสอนเค้าให้เป็นคนดี ถ้าคิดจะมีอะไรกันแล้วไม่อยากมีลูกก็ให้ป้องกันนะคะ อย่าให้เด็กเกิดมาโดยความไม่พร้อมของพ่อแม่ ซึ่งมันเป็นเพียงแค่ข้ออ้างและปัดความรับผิดชอบเท่านั้น



Saturday, November 15, 2014

กลับมาเขียนอีกครั้ง และสัญญาว่าจะเขียนต่อไปค่ะ

ขอโทษมิตรรักแฟนเพลงทุกท่านนะคะ ที่หายไปนานมากๆ 
หนีไปทำงานเก็บเงินสักพักเพื่อเอาทำ Thesis ต่อค่ะ 
ตอนนี้ก็กำลังเก็บข้อมูลอยู่ค่ะ เข้าปีที่ 3 แล้ว อยากจะจบสักที 
เรื่องราว คร่าวๆ ก็ประมาณนี้ค่ะ ดูไม่ค่อยมีสาระอะไรเลย 

มาเข้าสาระกันดีกว่า ตอนนี้อยู่ในช่วงหา รร. เข้าป. 1 ให้ลูกค่ะ 
ปวดหัวตุบเลยอ่ะ อยากจะเอาเข้า รร. ทางเลือก ที่ใกล้ๆบ้านก็มี
อยู่แค่ไม่กี่แห่ง และต้องลุ้นอย่างเดียว เขียนใบสมัครไว้แล้วค่ะ 
ไม่รู้จะมีดวงหรือเปล่า ครั้นจะให้เข้า รร. ที่ทำวิจัย ก็ไกลเสียซะเหลือเกิน 
เป็นโรงเรียนทางเลือกแนววิถีพุทธค่ะ จากที่ได้ศึกษาอย่างละเอียด
ก็เห็นแล้วว่าเป็น รร. ที่เหมาะสำหรับเด็กชาวพุทธอย่างเราเป็นที่สุดค่ะ 
คนเราเกิดจากธรรมชาติ ก็ต้องเรียนรู้ไปตามธรรมชาติ แต่ละครอบครัว
ก็มีขีดจำกัด ครั้นจะให้สมบูรณ์ไปทุกอย่างก็คงจะไม่ได้ ฉะนั้น ตอนนี้ก็
หาต่อไปค่ะ ท่านใดอ่านเจอ สามารถแชร์ประสบการณ์ได้นะคะ 
ถ้าเป็น รร. ย่าน ดอนเมือง หลักสี่ เกษตร ไม่เกินลาดพร้าว จะดีมากๆ เลยค่ะ 

ในบทต่อไปจะมาว่ากันต่อเรื่องโรงเรียนทางเลือกแนววิถีพุทธกันนะคะ 

สัญญาว่าจะไม่ทิ้งกัน

Sunday, July 28, 2013

ควันหลงงานสัปดาห์ครอบครัวนักอ่าน ๒๕๕๖

ห่างหายไปนานจากการเขียนบล็อค มีอะไรให้ทำมากมาย ไม่ว่าจะดูและเด็กระหว่างปิดเทอม เขียนวิทยานิพนธ์ รับงานนอกนิดหน่อย มีอะไรเอาหมด ฉะนั้นก็ไม่ได้เข้ามาเขียนกันสักที ตอนนี้ก็กลับมาโลดแล่นกันอีกครั้งหลักจากจัดเด็กเข้าที่ รร.เรียนเปิดเทอม ช่างเป็นสวรรค์สำหรับแม่อย่างจริงๆ

กลับมาเข้าเรื่องกันดีกว่า หลังจากส่งเด็กเสร็จก็ได้แว็บไปงานสัปดาห์ครอบครัวนักอ่านที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ เจ็บหนักกันไปพอสมควรเลยค่ะ เพราะจัดมาหนักพอสมควร เดินไปทางไหนก็มีแต่งหนังสือหน้าอ่านทั้งนั้น ทั้งของเด็กและของผู้ใหญ่ แต่งานนี้นุ้ยเจ็บตัวให้กับเด็กประมาณ ๙๘ เปอร์เซ็น ของตัวเองได้ประมาณ ๒ เล่ม จะมาเริ่มรีวิวกันเลยนะคะ จะแยกตามสำนักพิมพ์กันเลยนะคะ แต่เด็ดสุดจะเป็นหนังสือเตรียมความพร้อมเพื่อสอบเข้า ป.๑ เล่มนี้พอเปิดดูแล้วรู้สึกว่า เหมาะสมกับเด็กค่ะ ไม่ง่ายและไม่ยากเกินไป เตรียมพร้อมกันแล้วมาดูกันเลยนะคะ

เร่ิมต้นกันกับแบบฝึกหัดจากครูส้มนะคะ สามเล่นนี้เล่นสนุกค่ะ




ตัวอย่างบางหน้าจากในเล่มค่ะ





เล่มที่สอง เล่มนี้ก็ชอบค่ะเล่นสนุกดี ต้นข้าวทำเกือบหมดแล้วค่ะ เป็นภาพขาวดำค่ะ




จากสำนักพิมพ์ห้องเรียนค่ะ อ่านสนุก เป็นเรื่องที่เด็กๆ อยากรู้
ต้นข้าวยืมมาจากห้องสมุดบ่อยมาก และก็นั่งอ่านที่ร้าน นุ้ยก็เลยจำยอมซื้อให้สักทีค่ะ





จากสำนักพิมพ์แปลยฟอร์คิดส์ค่ะ  จัดเฉพาะที่ลดราคา เล่มใหม่ๆ มีบ้างนิดหน่อยค่ะ





จากสำนักพิมพ์  SCHOLARTIC  เล่มละ ๕๐ บาทค่ะ จัดเต็มอีกเช่นกัน



ช่วงนี้ต้นข้าวจะชอบเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ และธรรมชาติ และชอบดูภาพจริงๆ ที่เป็นภาำถ่ายค่ะ ก็เลยซื้อประมาณด้านบนเยอะหน่อย หนังสือนิทานก็จะเบาลง นุ้ยคิดว่าคุ้มนะคะกับการลงทุนกับหนังสือ บางเรื่องตอนเด็กเราก็สนใจแต่ไม่มีหนังสือดีๆ แบบนี้ ตอนนี้พอมีวางขายและมีกำลังซื้อกำลังซื้อก็เลยจัดมาเลยค่ะ ถ้าไม่อยากซื้อก็สามารถยืมอ่านได้เช่นกันค่ะ มันเป็นการเปิดโลกกว้างสำหรับเราและลูกมากๆ ค่ะ คุณพ่อคุณแม่ท่านใดอยากนำแนวทางนี้ไปใช้ก็ได้เลยนะคะ ยินดีแบ่งปันค่ะ

ถ้าถามว่าหนังสือพวกนี้เกี่ยวกีบการสอบเข้าสาธิตไหม อาจจะตอบว่าเกี่ยวค่ะ แต่เหมือนเป็นการตกผลึกความรู้ต่างๆ สิ่งรอบๆ ตัว ซึ่งข้อสอบส่วนใหญ่ก็จะมาจากตรงนี้ ถ้าให้ลูกทำแต่แบบฝึกหัดจนลืมให้เค้าเรียนรู้จากธรรมชาติ หรือสิ่งรอบๆ ตัว ก็อาจจะเป็นวิธีที่ไม่สมบูรณ์สำหรับการเรียนรู้ รวมถึงการสอบด้วย เราคนเป็ฯพ่อแม่ ก็สอนลูกได้ตามความสามารถ ตามแต่วิ๔ีของแต่ละคน เรารู้จักลูกเราดีที่สุด ฉะนั้นจงสอนลูกอย่างที่เราเป็น และอยากให้ลูกเราเป็น จงเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเค้า แล้วเค้าจะทำตาม เช่น ถ้าไม่อยากให้ลูกดูทีวี คุณต้องไม่เปิดทีวีดูขณะอยู่กับลูก หรือถ้าไม่อยากให้ลูกเล่นแท๊ปเล็ต ก็ไม่ต้องเอาขึ้นมาเล่นขณะอยู่กับลูก ถ้าคุณทำได้ ลูกคุณก็จะทำได้เช่นกัน ไม่อยากเลยใช่ไหมค่ะ

อัพเดท เรื่องต้นข้าวกันหน่อย ตอนนี้ก็เล่นแบบฝึกหัดทุกวันค่ะ หลังจากทำการบ้าน และก็ก่อนเวลานิทานนิดหน่อย ค่อยๆ เล่น ค่อยๆ ทำกันไปค่ะ เพราะนุ้ยคิดว่าการเร่งเด็กนั้นไม่มีประโยชน์เลยค่ะ เครียดกันเปล่าๆ ทั้งเราและลูก ฉะนั้นค่อยๆ ทำอย่างสม่ำเสมอดีกว่าจริงไหมคะ

ปล. จะพยายามเข้ามาเขียนให้บ่อยขึ้นนะคะ

Friday, May 24, 2013

ทำไมต้อง รร. สาธิต

ทำไมต้องเป็น รร. สาธิต

ก่อนอื่นต้องขออกตัวก่อนเลยว่า นุ้ยเองก็เป็นแม่คนหนึ่งที่อยากให้ลูกได้เข้าเรียนที่ดีๆ และด้วยตัวนุ้ยเองก็จบทางด้านการศึกษามา ได้ไปศึกษาดูงาน  ณ รร. สาธิต และได้ร่วมกิจกรรมต่างๆ ตลอดสี่ปี ที่เรียนในระดับปริญญาตรีกับ รร. สาธิต จึงพิจารณาด้วยเหตุผลและประสบการณ์ตรงว่า รร. สาธิตน่าจะเหมาะกับลูกเรา

ถ้าถามว่า รร. สาธิต คืออะไร นุ้ยก็จะตอบแบบตรงๆ ว่า ก็คือ ห้องทดลองของนักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ หรือครุศาสตร์ เพื่อสร้างประสบการณ์ตรงในความเป็นครูนั่นเอง แต่ด้วย มหาวิยาลัยที่มีชื่อเสียงต่างๆ รร. สาธิต ก็ได้อนิสงค์มีชื่อเสียงตามไปด้วย แต่กระนั้นเลย ครูทุกๆ ท่านของ รร. สาธิต ก็เป็นหัวกะทิและมีประสบการณ์สอนสูง และมีเทคนิคที่ดีในการถ่ายทอดความรู้ในกับนักเรียนและนักศึกษาที่ฝึกงาน นักศึกษาเองนั้นก็ซึมซับความรู้เหล่านี้เพื่อเตรียมพร้อมจะเป็นครูที่ดีในอนาคต ด้วยการเรียนการสอนที่ไม่ได้ถูกจำกัดตามมาตราฐานของกระทรวงศึกษาเท่านั้น รร. สาธิตสามารถปรับการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับบริบทปัจจุบัน ทันต่อเหตุการณ์ต่างๆ พร้อมด้วยบุคคลากรที่มีความรู้ความสามารถ องค์ประกอบเหล่านี้จึงทำให้ รร. สาธิตเป็นที่ต้องการของผู้ปกครองที่จะส่งบุตรหลานเข้าศึกษา

ไม่ว่าด้านการทดสอบจะยากเพียงใด หรือจะต้องยอมเสียค่าบำรุงมากเท่าใด พ่อแม่เองก็พยายามขวนขวายที่จะให้ลูกได้เข้าเรียน กลับมาเข้าสู่ครอบครัวชนชั้นกลางของนุ้ยเอง ก็อยากให้ลูกเข้าเรียนเช่นกัน เงินไม่ค่อยมีเท่าไหร่ แต่เวลาและความสามารถก็พอจะมีบ้าง ก็เลยจะลงทุนแรงงานสมอง และสองมือติวลูกเองค่ะ ค่อยๆ ติวกันไป ทุกๆ วัน ได้มากบ้าง น้อยบ้าง ก็พยายามกันไป ลูกคือปัจจัยที่สำคัญ ถ้าลูกให้ความร่วมมือและตั้งใจก็ประสบความสำเร็จไปกว่าครึ่ง แต่ก็ต้องเผื่อใจด้วยเช่นกันว่า ถ้า ณ วันสอบลูกไม่พร้อมหรือด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม เราก็ไม่ต้องโทษลูก หรือโทษตัวเอง เราต้องคิดว่าที่เราติวลูกไปนั้นถือว่าเป็นกำไร เราได้ใกล้ชิดลูก เรียนรู้ไปกับลูก นั่นก็คุ้มมากแล้วสำหรับคนเป็นพ่อแม่ หรือผู้ปกครอง นุ้ยเผื่อใจไว้เสมอค่ะ มันอาจจะทำได้ยาก แต่ก็ต้องยอมรับ เราทำได้ตามความสามารถของเรา และลูกเค้าก็ทำเต็มศักยภาพเค้าแล้ว ก็ไม่เป็นไรค่ะ เขียนมาถึงตรงนี้แล้วก็ทำใจได้แล้วค่ะ

Saturday, April 6, 2013

ลองสอบสาธิตดีไหมเนอะ!!!!!



ห่างหายจากการเขียนบล็อกไปนานมาก นานซะจนจำอะไรไม่ค่อยได้แล้วเชียว 
และเมื่อกลับมาเขียนอีกเพราะมีประเด็นในใจ ขอระบายสีกหน่อย (เหมือนว่าง)
ตอนนนี้อยู่ในช่วงสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครอบครัวของเราก็ไปช่วยขายหนังสือกัน
อยากรู้ว่าว่าอยู่บูธไหน (หลังไมค์เลยจ้า)
ปีนี้มีธีมของการซื้อหนังสือคือ หนังสือตัวสอบ ป.๑จริงๆ แล้วก็ซื้อมันทุกๆ ปีแหล่ะค่ะ
แต่ปีนี้จะมากหน่อยเพราะเจ้าตัวเล็กกำลังจะขึ้น อ. ๒ ค่ะ ยุ่งขิงเป็นที่สุด
เพราะต้องเตรียมหา รร. ป.๑เอาอย่างไรกันดีล่ะคะพี่น้อง
ครั้นจะให้เรียน กทม.ก็จะดูง่ายไปไหม หรือว่าจะให้ไปเข้าเอกชนเลยก็อาจจะไม่ท้าทาย
งั้นก็ขอลองสอบสาธิตกันสักหน่อย (ได้ก็ถือว่าโชคดีไป ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เตรียม รร. ไว้แล้วค่ะ)
ต้องบอกก่อนนะคะว่า อันนี้เป็นความตั้งใจของของครอบครัว แต่ไม่กดดันลูกค่ะ
เพราะค่อยๆ ใส่กันมาเรื่อยๆ ตัวนุ้ยเอง ตอนนี้ก็ค่อยๆ ซื้อหนังสือติวไปเรื่อยๆ ค่ะ
คนนั้นบอกบ้าง คนนี้ส่งรายชื่อมาให้บ้าง หาเองบ้าง
เยอะมากจริงๆ จนตัวเองก็งงๆ ค่ะ ดูๆ ไปมันก็คล้ายๆ กันไปหมด
ครั้นจะซื้อหมดเลยก็คงจะไม่มีทาง
ตอนนี้ก็เลยตัดสินใจว่า เอาล่ะ เอาแต่ที่หาได้ในหนังสือก่อน ติวกันแค่ อ. ๑ – อ.๒ ก่อนละกัน
เล่มไหนหาไม่ได้ก็ค่อยๆ หาต่อไป ซื้อมาเยอะก็ไม่ไหว บางเล่มก็ยากซะจนท้อ (คนที่ท้อคือแม่นะคะ)
นุ้ยเองก็ไม่ได้เก่งมาก สมองก็ไม่ได้ดี เชาว์ก็ไม่ค่อยได้เรื่อง ก็เพิ่งมาหัดเล่นแบบฝึกหัดไปกับลูกนี่แหล่ะค่ะ

จริงๆ แล้ว ตอนนี้นุ้ยก็ท้อค่ะ สับสนบ้าง เพราะคิดว่า เราต้องยัดลูกขนาดนี้เลยหรือ
แล้วสมองลูกจะรับไหวไหมเค้าก็เริ่มออกอาการเบื่อบ้าง
แต่นุ้ยก็คงความคิดเดิมไว้ค่ะ เบื่อก็ไม่ติวต่อ ไปเล่นซะ แล้วค่อยเริ่มใหม่ ไม่รู้ว่าจะ
ได้เรื่องหรือเปล่า เจ้าตัวเล็ก เค้าก็เป็นตามอารมณ์ค่ะ บางวันก็ทำเยอะ บางวันก็ไม่ทำเลย
เด็กเล็กจะไปกำหนดมากก็ไม่ได้ค่ะก็คงต้องคอยดูต่อไปค่ะ ว่าจะได้ผลอย่างไร
แต่ตัวแม่เองคนติวนี่แหล่ะค่ะ เครียดดีแท้ ก็อยากให้สอบได้ แต่อย่างไรเสีย
ถ้าเมื่อไหร่ที่เราเครียดลูกเราก็จะเครียดตามไปด้วย นุ้ยเลยเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองใหม่
ติวมันไปเรื่อยๆ เอาให้สนุกดีกว่าและค่อยๆ ที่จะไม่หวังผล คิดง่ายๆ
แค่ให้สมองลูกเราได้ทำงานเพิ่มขึ้นหน่อย ใช้เวลาตอนปิดเทอมให้เป็นประโยชน์
ขอกำลังใจและแรงเชียร์ด้วยนะคะ คนที่จะหมดแรงติวคือ ตัวแม่ค่ะ เจ๊ไม่รู้ว่าจะดันไหวหรือเปล่า
ต้องลองติดตามกันต่อไป

นุ้ยชื่นชมคุณแม่ ทุกๆ ท่านที่ติวลูกเองนะคะ สอบได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่คำตอบที่สำคัญ
แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ เราได้เรียนรู้ไปกับลูก และเห็นพัฒนาการของเค้าอย่างใกล้ชิดค่ะ
คุณแม่ท่านใด เคยมีประสบการณ์นี้ แชร์กันได้นะคะ นุ้ยเองก็มือใหม่ค่ะ
และก็ไม่อยากไปเสียเงินกับสถาบันติวด้วยค่ะ มีเทคนิคอะไรพอจะแบ่งปันกันได้ ก็ยินดีนะคะ

ตัวอย่างหนังสือที่ซื้อหามาและใช้ติวกันไปแล้วบ้าง (ที่บ้านจะเรียกว่าเล่นแบบฝึกหัดค่ะ)
















นุ้ยจะค่อยๆ เล่นนะคะ ที่ลงให้ดูนั้น เริ่มเล่นตั้งแต่ต้นข้าวสักสองขวบ จนถึงปัจจุบัน (๔ ขวบค่ะ) ไม่รีบค่ะ อันไหนชอบก็จะเล่นบ่อย ลบแล้วก็เล่น อันไหนยากก็ค่อยๆ เล่นไปค่ะ ไม่เร่งค่ะ เอาสนุกและเค้าชอบเป็นหลัก